วันศุกร์ที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

จดหมายเปิดผนึก เครือข่ายคนไทยหัวใจรักชาติ 6-4-2554.♥


 แกนนำเครือข่ายคนไทยหัวใจรักชาติ แถลงข่าวโดย ฝากฟ้า นาวาบุญนิยม  6 พ.ค.2554 เวลา 15.56 น.



เชิญคลิกอ่านรายละเอียด ดังนี้..
  1. วันที่ 6 พค 54 คทร.แถลงข่าวกรณีดำเนินการเกี่ยวกับข้อพิพาทเขาพระวิหารในศาลโลก.mp3 
คลิก play เพื่อรับฟังเสียงการแถลงข่าว

----------------------------------------------------------------------------------------------------




จดหมายเปิดผนึก
กรณี การดำเนินการเกี่ยวกับข้อพิพาทเขาพระวิหารในศาลโลก
๖ พฤษภาคม ๒๕๕๔


เรียน พี่น้องประชาชนชาวไทยที่เคารพ

สืบเนื่องจากรัฐบาลภายใต้การนำของพรรคประชาธิปัตย์สมัยนายชวน หลีกภัย ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้มีการลงนามบันทึกความเข้าใจที่รู้จักกันในนาม MOU ปี พ.ศ. 2543 นำไปสู่การยึดถือเอาแผนที่ 1:200,000 มาใช้เป็นกรอบการแก้ไขปัญหาของคณะกรรมการร่วมเขตแดนทางบกไทย-กัมพูชาและเป็นกรณีพิพาทระหว่างราชอาณาจักรไทยกับราชอาณาจักรกัมพูชา เพราะมีความพยายามนำกรอบดังกล่าวมาพิจารณากำหนดการแบ่งเขตแดนระหว่างไทย-กัมพูชารวมถึงบริเวณเขาพระวิหารด้วยทั้ง ๆ ที่ในความเป็นจริง MOU 43  เป็นเพียงข้อพิจารณาเบื้องต้นเพื่อนำไปสู่ข้อสัญญาที่ จะต้องนำมาสู่การพิจารณาในความตกลงสองฝ่าย และเป็นโมฆะ เนื่องจากขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญของทั้งสองประเทศ

รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กลับดำเนินการในทางบริหารเป็นการแสดงเจตนาแห่งรัฐต่อทางการกัมพูชา และหรือ แถลงต่อรัฐสภาของไทยโดยเพิกเฉยต่อความถูกต้องและความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของ MOU 43 และแสดงต่อสาธารณะว่ามีความถูกต้องใช้เป็นแนวทางดำเนินการทางนโยบาย เช่น ใช้เป็นข้ออ้างว่าเพื่อป้องกันไม่ให้ประเทศอื่นมาแทรกแซง เพื่อให้การแก้ปัญหาเป็นเรื่องของสองประเทศ เพื่อหยุดยั้งการปะทะหรือก่อสงคราม หรือ เพื่อให้คณะกรรมการหรือกลไกคณะกรรมการร่วม ฯ ( JBC )  คงดำรงอยู่ต่อไป  

ประชาชนหลายฝ่ายได้ร่วมกันคัดค้าน ต่อต้าน และให้ยกเลิก MOU 43 เพราะจะเป็นเหตุนำไปสู่การสูญเสียดินแดน 4.6 ตารางกิโลเมตร และตลอดแนวเขตแดน แต่ก็ได้รับการปฏิเสธจากรัฐบาล จนปัญหาลุกลามไปสู่การใช้กำลังทหารและอาวุธสงคราม ทำให้ประชาชนผู้บริสุทธิ์ต้องสูญเสียเลือดเนื้อ ชีวิต และโอกาสทางเศรษฐกิจมาจนถึงปัจจุบัน และนำไปสู่การเรียกร้องของราชอาณาจักรกัมพูชาต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศหรือศาลโลก และ รัฐบาลนาย  อภิสิทธิ์ฯ ได้ว่าจ้างทนายความชาวฝรั่งเศส รวมทั้งคนไทยเพื่อเตรียมการต่อสู้คดี

เครือข่ายประชาชนไทยหัวใจรักชาติ ในฐานะภาคประชาชนที่ให้ความสนใจติดตามเรื่องนี้ตลอดมาเห็นพ้องร่วมกันว่า การดำเนินการต่อสู้คดีของราชอาณาจักรไทย จากการยื่นคำร้องของราชอาณาจักรกัมพูชาครั้งนี้ หากยังประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงและขาดความรอบคอบระมัดระวังอาจนำประเทศเข้าสู่ความเสียหายอย่างใหญ่หลวงเพราะจะนำไปสู่การสูญเสียดินแดนและบูรณภาพเหนืออธิปไตยของประเทศ ดังมีประเด็นสาระสำคัญต่อไปนี้

                         ๑. ความรอบคอบรัดกุมทางกฎหมายระหว่างประเทศ ผู้ที่จะเข้ามาดำเนินการในเรื่อง หรือคดีดังกล่าวนี้ ต้องเป็นผู้รู้แจ้งแทงตลอดและมีความเชี่ยวชาญในกฎหมายระหว่างประเทศอย่างแท้จริง เพราะการต่อสู้คดีนี้เป็นกลเกมของผู้หวังผลประโยชน์ทางการเมือง หรือเป็นการเล่นละครตบตาชาวโลก ทั้งนี้เพราะเรากำลังเอาผลประโยชน์ของประเทศอันมหาศาลในอ่าวไทยมูลค่าหลายล้านล้านบาทเข้าไปเสี่ยงได้เสี่ยงเสียอย่างง่ายๆ  เพราะเชื่อได้ว่าการฟ้องคดีของฝ่ายกัมพูชาในศาลโลกเป็นหนึ่งในแผนการสกปรกที่บรรษัทข้ามชาติเกี่ยวกับพลังงานได้มีส่วนร่วมด้วย   

                                ๒. เขตอำนาจในการพิจารณาคำร้อง และ ความสามารถ  การฟ้องคดีนี้ในศาลโลกของฝ่ายกัมพูชาโดยการนำเอาราชอาณาจักรไทยไปเป็นจำเลยในศาลโลก เป็นการตั้งเรื่องฟ้องคดีใหม่(ให้ดูเอกสารเผยแพร่ต่อสาธารณชนแนบท้ายจดหมายเปิดผนึกนี้ ลำดับที่ ๑) หรือเป็นการขอให้ศาลโลก ทบทวนคำพิพากษาของศาลโลก ที่พิพากษา เมื่อวันที่ ๑๕ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๐๕  (ให้ดูธรรมนูญของศาลโลกในบทบัญญัติที่ ๖๑ ข้อ ๔ และข้อ ๕ แนบท้ายจดหมายนี้) แม้คำฟ้องของฝ่ายกัมพูชา จะอ้างอิงการตีความตามคำพิพากษาของศาลโลกโดยอ้างบทบัญญัติที่ ๖๐ของธรรมนูญศาลโลกตอนท้ายบทบัญญัติ  (ให้ดูธรรมนูญศาลโลกแนบท้ายจดหมายนี้)   จะเป็นการตีความถ้อยคำในคำวินิจฉัยของศาลโลก หรือ เป็นการทบทวนคำพิพากษาของศาลโลก ซึ่งจะขึ้นอยู่ กับดุลพินิจขององค์คณะผู้พิพากษาของศาลโลก ฝ่ายไทยต้องโต้แย้งในประเด็นนี้ให้แจ้งชัด และการโต้แย้งดังกล่าวก็ต้องมิใช่การยอมรับอำนาจศาลโลกในการพิจารณาและพิพากษาคดีนี้

                   เป็นที่ทราบกันดีโดยแน่ชัดว่า เมื่อประเทศไทยแพ้คดีปราสาทพระวิหารในปีพ.ศ. ๒๕๐๕ ราชอาณาจักรไทยภายใต้การบริหารของจอมพล สฤษดิ์  ธนะรัตน์ นายกรัฐมนตรี ได้ประกาศถอนตัวจากการเป็นชาติภาคีสมาชิกของธรรมนูญศาลโลกในปีพ.ศ.๒๕๐๖ – พ.ศ.๒๕๐๗รัฐไทยไม่มีพันธกรณีที่จะต้องตกอยู่ในอำนาจการบังคับของศาลโลกแล้ว


การที่กัมพูชานำเรื่องไปสู่ศาลโลก โดยอ้างถึงการขอให้ศาลตีความในคำพิพากษา ซึ่งผ่านมาเกือบ 50 ปี แล้วจึงไม่มีเหตุผลและไม่มีประเด็นตามข้ออ้างที่จะนำคดีไปสู่ศาลโลกได้แต่อย่างใด   หากมีการดำเนินการใดๆ ให้รัฐไทยต้องตกอยู่ในอำนาจศาลโลก ผู้มีส่วนร่วมในการกระทำทั้งหมดต้องเข้าข่ายของการกระทำความผิดอาญา ในข้อหาความมั่นคงของรัฐภายนอกราชอาณาจักร (อ้างอิงคำพิพากษาของศาลโลกในคดี Anglo-Iranian Oil v. Iran)

ศาลโลกไม่อาจดำเนินคดี ระหว่างกัมพูชา – ไทย ให้สมบูรณ์ และบริบูรณ์ต่อไปได้ เพราะจะต้องได้รับความยินยอมจากฝ่ายไทยเสียก่อน กรณีนี้มิใช่การตีความ สนธิสัญญา กฎหมายระหว่างประเทศ หรือตามหลักกฏหมายระหว่างประเทศทั่วไป ( The General Rules of International Law) แต่อย่างใด หากฝ่ายไทย ยกข้อคัดค้านโดยแจ้งชัดและเป็นที่ประจักษ์แล้ว ในเรื่องอำนาจการพิจารณาและพิพากษาคดีของศาลโลก ศาลโลกก็จะต้องชี้ขาดในประเด็นปัญหานี้ก่อน  (ให้พิจารณาเกี่ยวกับคดี Iceland v. Great Britain,  Iceland v. Republic of Germany ในเรื่องการจับปลาในเขตทะเลเหนือ) ซึ่งศาลโลกยอมรับในเรื่องประเด็นข้อต่อสู้ของ Iceland เพียงแต่ไม่อาจทำตามข้อโต้แย้งของ Iceland ได้ตลอด เพราะ Iceland ไปทำข้อตกลงกับอังกฤษและเยอรมันไว้ล่วงหน้า ก่อนถูกดำเนินคดีหลายสิบปี ซึ่งคดีนี้อาจนำมาเปรียบเทียบกับกรณี MOU 43 ได้ในฐานะคดีที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง

                             ๓. การตกหลุมพรางโดยรีบร้อนเข้าดำเนินการต่อสู้คดีของราชอาณาจักรไทยจะเป็นการเข้าไปยอมรับฐานะเป็นจำเลยในคดีปัจจุบัน จึงต้องพิจารณาอย่างถ่องแท้ การที่จะเข้าไปโต้แย้งสิทธิในการพิจารณาพิพากษาคดีของศาลโลก ที่ราชอาณาจักรไทยประกาศไม่ยอมรับอำนาจศาลโลกในปีพ.ศ.๒๕๐๖ – พ.ศ.๒๕๐๗ ดังปรากฏในข้อที่ ๒ ข้างต้น หรือจะเป็นการเข้าไปเป็นจำเลยในศาลโลกโดยถือวิถีทางปฏิบัติ หรือ โดยปริยาย ที่จะเข้าไปเป็นจำเลยในคดีโดยไม่โต้แย้งสิทธิของศาลโลก ในเรื่องอำนาจพิจารณาและพิพากษาคดี หรือการเข้าไปรับฐานะการเป็นจำเลยโดยไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ จึงเป็นปัญหาหลักการ และเป็นเรื่องที่สำคัญยิ่ง คนไทยและราชอาณาจักรไทย ต้องไม่ตกหลุมพราง  มิฉะนั้นบริษัทค้าน้ำมันข้ามชาติ กับบรรดานักการเมืองไทยที่ขายชาติ            ผู้ละโมบของเราเอง จะนำเอาการพ่ายแพ้คดีในคดีปัจจุบัน มาเป็นข้ออ้างต่อพี่น้องประชาชนไทยว่า “ อย่ามาต่อต้าน MOU 43 JBC หรือ GBC อีกต่อไปเลย ทั้งนี้เพราะเราแพ้คดีนี้แล้ว ผมในฐานะผู้บริหารประเทศต้องปฏิบัติตามคำพิพากษาศาลโลก ”  พี่น้องชาวไทย ต้องตระหนักในประโยคคำพูดนี้ให้จงหนัก  อย่ายอมให้เกิดการสมคบกันเพื่อผลประโยชน์ในระดับนานาชาติเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า กับประเทศที่รักยิ่งของเราอีกต่อไป ต้องหันมาให้ความร่วมมือกันในทุกๆทาง เพื่อเปิดโปงแผนการอันชั่วร้ายนี้ให้โลกรับรู้  และให้โลกประณาม 



คดีนี้ จะต้องไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย เหมือนกับคดีปราสาทพระวิหารในอดีตอีกต่อไป

                                                    
                                                 เครือข่ายประชาชนไทยหัวใจรักชาติ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น